การควบคุมชั่วโมงการทำงานของตนเองได้มากขึ้นทำให้ผู้คนมีประสิทธิภาพการทำงานมากขึ้น ไม่ใช่ลดลง "ความกลัวที่ว่า ประสิทธิภาพการทำงานจะลดลงหากคุณปล่อยให้ผู้คนมีอิสระในการควบคุมเวลาทำงานของตนเองนั้นได้รับการพิสูจน์แล้วว่าไม่มีเหตุผล" Annie Auerbach กล่าว
ความท้าทายสำหรับผู้ที่ทำงานจากระยะไกลคือการใช้ตารางเวลาที่ยืดหยุ่นมากขึ้นให้เกิดประโยชน์ ได้แก่ การสร้างขอบเขต การทำงานในเวลาที่มีประสิทธิภาพสูงสุด และการเลิกนิสัยที่ทำงานตลอดเวลา Auerbach อธิบายว่า "สิ่งที่คุณไม่ควรทำเลยก็คือการเปลี่ยนจากการมาทำงานแม้มีสภาวะไม่พร้อมแบบ "มาที่สถานที่จริง" เป็นแบบ "ดิจิทัล" และเปลี่ยนจากชั่วโมงทำงานปกติไปเป็นทำงานตลอดเวลา ไม่เช่นนั้นจะเป็นการทำซ้ำนิสัยที่ไม่ดีของสถานที่ทำงานแบบเดิมในพื้นที่ทำงานรูปแบบใหม่ที่มีความยืดหยุ่น แล้วแสร้งทำเป็นว่านั่นคือความยืดหยุ่นอย่างแท้จริง"
Nicolas Leschke ผู้เป็น CEO ของ ECF Farmsystems บริษัทสตาร์ทอัพในเบอร์ลินกล่าวว่าเขาได้เรียนรู้วิธีสร้างขอบเขตส่วนบุคคลด้วยเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ เช่น การปิดโทรศัพท์ตอนกลางคืนและการทำให้อีเมลงานเข้าถึงได้ยากขึ้นจากหน้าจอหลักของโทรศัพท์ "การเลิกนึกถึงเรื่องงานนั้นยากมากครับ" เขากล่าวเสริม "แต่ตอนนี้ผมคิดว่าผมทำได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว และผมคิดว่าคงต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ครับ"
สถานที่ทำงานยังเป็นสิ่งที่พวกเขาสนใจใช้เพื่อป้องกันไม่ให้พนักงานหมดไฟอีกด้วย "ความเป็นอยู่ที่ดีของผู้คน อันได้แก่ความเป็นอยู่ที่ดีทางจิตใจและร่างกายของพวกเขามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประสิทธิภาพการทำงาน" Kate Lister กล่าว "คุณอาจไม่เคยได้ยินคำว่า "ความยืดหยุ่น" และ "ความสมดุลของชีวิตและการทำงาน" และ "สุขภาพจิต" จากปากตำแหน่งผู้บริหารบ่อยนักก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้เราจะได้ยินคำเหล่านั้นอย่างแน่นอน"
Annie Auerbach อธิบายว่าตารางเวลาที่ยืดหยุ่นเป็นประโยชน์ต่อพนักงานหลากหลายประเภท ไม่เพียงแต่ผู้ที่เป็นพ่อแม่คนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้ที่ต้องดูแลญาติผู้สูงวัย ผู้ที่ต้องการทำตามเป้าหมายเกี่ยวกับความสนใจ และผู้ที่ต้องการเวลาส่วนตัวมากขึ้นอีกด้วย "แนวทางนี้เป็นวิธีใหม่ในการมองสิ่งต่างๆ เช่น แทนที่จะมองว่าความยืดหยุ่นเป็นสิ่งที่คุณต้องยอมรับอย่างไม่เต็มใจ ให้คุณมองว่าความยืดหยุ่นเป็นหนทางแห่งอนาคต วิธีดึงดูดผู้มีความสามารถที่ดีที่สุด และวิธีทำให้พนักงานของคุณรู้สึกได้รับการเติมเต็มและมีความสมดุล"
Cook กล่าวว่าเธอได้ค้นพบข้อดีเกี่ยวกับพลังของเทคโนโลยีที่จะช่วยสนับสนุนการทำงานของผู้คน มากกว่าจะเป็นพลังที่น่ากลัวที่อยู่เบื้องหลังการคุกคามงานของเราผ่านระบบอัตโนมัติจำนวนมาก แต่กลับกัน "เทคโนโลยีนี้ช่วยขจัดความเครียดจากการเดินทาง และทำให้เรามีเวลากลับมาอยู่กับครอบครัวมากขึ้น"
"การระบาดใหญ่ของ COVID-19 เป็นตัวกระตุ้นที่สำคัญสำหรับการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล เนื่องจากหลายๆ ธุรกิจไม่มีทางเลือกนอกจากต้องดำเนินงานเอกสารจำนวนมากทางออนไลน์" Whit Bouck ผู้เป็น COO ของบริษัทลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ HelloSign (บริษัทของ Dropbox) กล่าว ซึ่งวิธีนี้ช่วยให้ทีมแบบกระจายตัวลงนามในเอกสารทางการได้โดยไม่จำเป็นต้องอยู่ในห้องเดียวกัน ซึ่งอาจรวมถึงเอกสารทุกอย่างตั้งแต่เอกสารการเตรียมความพร้อมของพนักงานไปจนถึงสัญญากับซัพพลายเออร์ "ธุรกิจจำเป็นต้องมีหนทางในการทำข้อตกลงที่สำคัญเหล่านี้ทางออนไลน์ต่อไป และเราก็ช่วยทำให้การดำเนินการนั้นง่ายและปลอดภัย" Bouck กล่าว
"ฉันคิดว่าเครื่องมือนี้ยังสามารถพัฒนาไปถึงขั้นที่ใช้เครื่องมือทางเทคโนโลยีเพื่อเสริมสร้างวัฒนธรรมได้ เพียงแต่ว่าเรายังไปไม่ถึงขั้นนั้น
เมื่อทีมนำเครื่องมือดิจิทัลประเภทต่างๆ มาใช้มากขึ้นเรื่อยๆ สำหรับการเพิ่มลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ ไวท์บอร์ด การจัดการโครงการ การสนทนา และกิจกรรมการทำงานร่วมกันอื่นๆ พนักงานก็จำเป็นต้องใช้เครื่องมือเหล่านี้ให้ได้อย่างคล่องแคล่ว เครื่องมือต่างๆ ได้เริ่มนำเสนอการผสานการทำงานที่ดียิ่งขึ้นเพื่อให้สามารถทำงานร่วมกันได้โดยที่คุณไม่เสียสมาธิจากการสลับการทำงาน กรณีตัวอย่างคือ Dropbox ได้เปิดตัว Dropbox Spaces ขึ้นในปี 2019 ซึ่งไม่เพียงแต่มีจุดประสงค์เพื่อเป็นพื้นที่จัดเก็บข้อมูลเท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์กลางที่สำคัญสำหรับการทำงานร่วมกันและการผสานการทำงานกับเครื่องมืออื่นๆ เช่น Slack, Zoom และ Trello อีกด้วย "เรากำลังให้ความสำคัญกับแพลตฟอร์มและขั้นตอนการทำงานมากขึ้น Dropbox Spaces ช่วยให้ทีมสามารถรวบรวมหลายๆ ไฟล์จากที่ต่างๆ มาไว้ที่ส่วนกลาง ทำให้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างไม่ตกหล่น เครื่องมือนี้เป็นวิวัฒนาการแรกๆ ที่ทำให้ Dropbox ประสบความสำเร็จ" Alastair Simpson อธิบายไว้
ท้ายที่สุดแล้วเครื่องมือในการทำงานแบบดิจิทัลจะต้องมีส่วนช่วยทีมแบบกระจายตัวมากกว่าสนับสนุนเรื่องประสิทธิผล เครื่องมือดังกล่าวจะต้องรองรับความต้องการทางอารมณ์และความคิดสร้างสรรค์ของชุมชนเมื่อสมาชิกไม่ได้อยู่ใกล้ชิดกัน "คุณจะสูญเสียความแปลกใหม่ที่มาจากการทำงานร่วมกับคนอื่น ความคิดสร้างสรรค์ที่คุณได้จากช่วงพักดื่มกาแฟ หรือแรงบันดาลใจจากการแอบมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ของคนอื่น" Fred Wordie จาก Kids บริษัทรับทำโฆษณาในเบอร์ลินกล่าว ซึ่งเขาเป็นผู้สร้าง I Miss the Office ในระหว่างที่มีการใช้มาตรการป้องกันการระบาดครั้งใหญ่เพื่อเลียนแบบเสียงในสำนักงาน เขาตระหนักดีว่าเสียงนั้นไม่ได้น่าสนใจ แต่กลับเป็นผู้ที่ทำเสียงเหล่านั้นต่างหากที่น่าสนใจ "นั่นเป็นเหตุผลที่เว็บไซต์นี้ทำให้หลายๆ คนเกิดความสบายใจ"
การสร้างทางเลือกดิจิทัลสำหรับช่วงเวลาที่เป็นความบังเอิญและไม่เป็นทางการในหมู่เพื่อนร่วมงานนั้นถือเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ "ฉันคิดว่าเครื่องมือยังสามารถพัฒนาไปถึงขั้นที่ใช้เพื่อเสริมสร้างวัฒนธรรมได้ เพียงแต่ว่าเรายังไปไม่ถึงขั้นนั้น" Kate Lister กล่าว
ปัจจุบันพนักงานที่ทำงานแบบกระจายตัวจำนวนมากใช้วิดีโอคอล โพสต์ และการสนทนาทางแชทกับทั้งทีมเพื่อสร้างวัฒนธรรม และในที่สุด คุณสมบัติและเครื่องมือใหม่ๆ จะปรากฏขึ้นเพื่อรองรับกับการเผชิญหน้าที่หลากหลายและเป็นความบังเอิญให้กับทั้งองค์กร
ในบางแง่มุม การเชื่อมต่อระยะไกลยังช่วยลดอคติระหว่างเพื่อนร่วมงานในชีวิตประจำวันอีกด้วย Kate Lister ตั้งข้อสังเกตว่าการสื่อสารระยะไกลสามารถลดลำดับชั้นลงได้อย่างแท้จริง ทำให้คนที่มีโลกส่วนตัวสูงและคนอื่นๆ มีสิทธิมีเสียงเท่าเทียมกันมากขึ้น "วิธีนี้ช่วยยกระดับสนามแข่งขัน เนื่องจากทุกคนมีโอกาสที่จะพูด"
Annie Auerbach อธิบายว่าความสามารถในการสานสัมพันธ์ไมตรีได้เป็นอย่างดีในสภาพแวดล้อมสำนักงานไม่ได้แสดงออกถึงตัวตนทั้งหมดของบุคคลนั้นๆ "มีความหวั่นเกรงเกี่ยวกับว่า เมื่อทำงานจากที่บ้าน เราจะโดดเดี่ยวและไม่รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งใด ที่ฉันอยากจะบอกก็คือ เราก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกันเวลา [สวมใส่] หูฟังและไม่เปิดปากพูดคุยในสำนักงาน ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การทำงานระยะไกล แต่เป็นการเชื่อมต่อระยะไกลต่างหาก" การสร้างความไว้วางใจระหว่างสมาชิกในทีมอาจต้องพึ่งเครื่องมือหรือแพลตฟอร์มที่เฉพาะเจาะจงให้น้อยลง และหันไปพึ่งวิธีการปฏิบัติตนเพื่อให้เข้ากับคนอื่นได้ตามธรรมชาติของมนุษย์ให้มากขึ้น การพบปะสังสรรค์เป็นระยะหรือกิจกรรมที่สมาชิกในทีมได้ทำความรู้จักกันให้ดียิ่งขึ้นก็สามารถช่วยได้
Kate Lister กล่าวเสริมว่า "การวิจัยแสดงให้เห็นว่าเราไม่จำเป็นต้องเห็นหน้ากันบ่อยๆ เพื่อรักษาสายสัมพันธ์ของความไว้วางใจ และในความเป็นจริง บริษัทเสมือนส่วนใหญ่จะรวมตัวกันเพียงปีละครั้งหรือสองครั้ง และมักไม่ทำอะไรเลยนอกจากพบปะพูดคุยกัน ซึ่งดูเหมือนว่าการรักษาความไว้วางใจให้อยู่ในระดับสูงก็อาศัยเพียงการพบปะสังสรรค์ที่ไม่บ่อยนักเหล่านี้เท่านั้น"
Melanie Cook กล่าวว่าทีมของเธอได้สร้างแนวทางปฏิบัติเสมือนที่ให้มีการประชุมประจำวัน 2 ครั้งระหว่างที่มีการใช้มาตรการล็อกดาวน์ในช่วงการระบาดครั้งใหญ่ โดยการประชุมช่วงเช้าจะเป็นไปอย่างทางการ และการประชุมช่วงบ่ายจะเป็นแบบไม่เป็นทางการเพื่อแทนที่การที่พนักงานเคยพบปะกันตามทางเดินแบบสบายๆ "การพูดคุยในช่วงบ่ายของเรามักจะเป็นแบบเรื่อยเปื่อย เป็นเพียงการพูดคุยเพื่อสุขภาพจิตเท่านั้น"
เมืองที่ค่าครองชีพสูงซึ่งคนทำงานต่างแห่กันไปหางานอาจมีความผ่อนคลายลงบ้าง เนื่องจากผู้คนต่างออกเดินทางไปยังแถบชานเมืองหรือชนบทที่มีพื้นที่สำหรับทำโฮมออฟฟิศและเข้าถึงธรรมชาติ และบางชุมชนอาจสามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจของตนเองได้ "มีสถานที่ต่างๆ ทั่วประเทศและทั่วโลกที่กำลังรับสมัครพนักงานจากระยะไกลและให้การฝึกอบรมแก่พนักงานเหล่านั้น โดยเป็นการฝึกอบรมผู้คนในพื้นที่ให้เป็นผู้สมัครทำงานระยะไกลที่มีประสิทธิภาพ และในบางกรณีถึงกับให้ค่าจ้างสำหรับย้ายไปยังสถานที่นั้น" Kate Lister กล่าว "พวกเขาต้องการที่จะเพิ่มงานประเภทใหม่ๆ เข้าสู่เศรษฐกิจในชุมชนของตนเองเป็นอย่างยิ่ง"
เมืองที่เต็มไปด้วยพนักงานที่มีความยืดหยุ่นจะมีการจัดระเบียบในรูปแบบใหม่ โดยเปลี่ยนแปลงการเดินทางรูปแบบเดิมระหว่างเขตที่อยู่อาศัยและเขตการค้าของเมือง C40 Cities เป็นเครือข่ายของเมืองทั่วโลกที่ทำงานเกี่ยวกับปัญหาด้านการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศได้แสดงให้เห็นถึงโลกที่คุณสามารถเข้าถึงสิ่งที่ต้องการได้โดยใช้เวลาเดินทางไม่เกิน 15 นาที การพัฒนาเมืองแบบผสมผสาน ที่ซึ่งบ้าน สถานที่ทำงาน ร้านค้าปลีก และสถานบันเทิงตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกันอาจพิสูจน์ได้ว่าเป็นประโยชน์ต่อการทำงาน อย่างที่ Goy ได้ค้นพบขณะที่เธอทำงานด้านสถาปัตยกรรมของตนเอง "ฉันค้นพบสิ่งใหม่ๆ เมื่อออกไปอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมโดยรอบ ได้เห็น ได้สัมผัส ได้รู้สึก ได้พบเจอ และได้สื่อสารกับผู้คนในชุมชน ฉันคิดว่าการได้สัมผัสกับสิ่งที่อยู่รอบตัวทำให้ฉันเป็นนักออกแบบที่ดีขึ้นได้" เธอกล่าว
ขณะที่งานบางอย่างถูกกลืนหายไป บทบาทการทำงานใหม่จะถูกสร้างขึ้นอย่างแน่นอน จากรายงานของ Dell Technologies สถาบันเพื่ออนาคตคาดการณ์ว่า 85% ของงานที่จะมีในปี 2030 ไม่ใช่งานที่มีอยู่ในปัจจุบัน ผู้คนจะมีความจำเป็นน้อยลงสำหรับงานที่ต้องทำซ้ำๆ และมีความจำเป็นมากขึ้นสำหรับงานที่ต้องใช้ทักษะของ "มนุษย์" ที่ไม่เหมือนใคร เช่น การคิดวิเคราะห์และการทำงานร่วมกัน Melanie Cook คาดการณ์ว่าจะเกิด "ภาวะฉุกเฉินระดับโลกสำหรับการเสริมสร้างทักษะ" ขึ้น ซึ่งผู้คนจะต้องเข้ารับการฝึกอบรมสำหรับงานเหล่านี้ในอนาคต
Auerbach กล่าวเสริมว่า "ความจริงแล้วเราจำเป็นต้องแสวงหาความรู้ตลอดทั้งชีวิต คุณไม่สามารถศึกษาเรื่องต่างๆ ทั้งหมดล่วงหน้าได้ เพราะเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงและทักษะต่างๆ มีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา เราจึงจำเป็นต้องพัฒนาตนเอง เรียนรู้ และเรียนรู้ใหม่ต่อไปในทุกช่วงเวลาของชีวิต ทั้งนี้ โอกาสในการฝึกอบรมแบบเร่งด่วนต่างๆ ก็มีขึ้นแล้วเพื่อตอบสนองต่อการปรับตัวตามความต้องการด้านอาชีพ เช่น ใบรับรองอาชีพของ Google ที่มีขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการในด้านนี้
การปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงเหล่านี้หมายความว่าอาชีพจำนวนมากจะไม่สามารถดำเนินการต่อโดยพึ่งระบบอัตโนมัติได้อีกต่อไป ผู้คนอาจต้องดำเนินการด้วยท่าทีเชิงรุกมากขึ้นในการสำรวจและเปลี่ยนแปลงเพื่อค้นหาหนทางสู่ความก้าวหน้าของตนเอง Auerbach กล่าวว่าควรคาดการณ์ถึง "เส้นทางอาชีพที่คดเคี้ยวมากขึ้น ซึ่งผู้คนอาจต้องการเดินไปในแนวนอนหรือแนวทแยงมุมไปยังสาขาอาชีพอื่นๆ ผู้คนอาจต้องการหยุดและออกเดินทาง ผู้คนอาจต้องการหยุดและเรียนรู้ก่อนที่จะกลับเข้าไปในที่ทำงาน ซึ่งวิสัยทัศน์ทั้งหมดนี้จะมีการผสมรวมกันมากขึ้นเรื่อยๆ ... เมื่อชีวิตของเราดำเนินต่อไป"
แม้แต่ในญี่ปุ่นที่เดิมที บริษัทต่างๆ มีนโยบายการจ้างงานตลอดชีพ ผู้คนก็เริ่มคิดเกี่ยวกับอาชีพของตนแบบยืดหยุ่นมากขึ้นแล้ว En Factory ซึ่งตั้งอยู่ในโตเกียวให้บริการช่วยเหลือบริษัทต่างๆ ในการส่งเสริมให้พนักงานรับและดูแลงานเสริมภายในบริษัทและงานอื่นๆ นอกเหนือจากนั้น "งานเสริมกลายเป็นที่ยอมรับในปัจจุบันเนื่องจากเป็นโอกาสที่พนักงานของพวกเขาสามารถรับประสบการณ์และทักษะใหม่ๆ ได้" Masaki Shimizu ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรกิจของ En Factory กล่าว เขามองว่างานเสริมเป็นสถานการณ์ที่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ทั้งบริษัทและพนักงาน บริษัทต่างๆ สามารถใช้ประโยชน์จากทักษะใหม่ๆ ที่พนักงานของพวกเขาพัฒนาขึ้น ในขณะที่พนักงานก็ขยายโอกาสในการทำงานได้ Shimizu กล่าวว่าพนักงานส่วนใหญ่ของ En Factory เองก็ทำงานเสริมตั้งแต่การสร้างเว็บไซต์ไปจนถึงการจัดหาเสื้อผ้าสำหรับสุนัข ตัวเขาเองก็ทำ 4 งาน ซึ่งหนึ่งในนั้นเกี่ยวข้องกับการบริหารคาเฟ่เม่นแคระ เขากล่าวว่าแนวทางในการทำงานของเขาถูกมองว่าต่างไปจากปกติเป็นอย่างมาก เมื่อเขาเริ่มทำงานเสริมในปี 2012 เขาถึงกับเคยปรากฏในเนื้อหาข่าวด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้มีคนจำนวนมากที่ทำงานเสริม ซึ่งเขาเองได้บอกเล่าเคล็ดลับและแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดให้กับคนเหล่านั้นด้วย
การทำงานอิสระและการเป็นผู้ประกอบการจะยังคงมีความเสี่ยงมากกว่าและมีความมั่นคงน้อยกว่างานประจำแบบเดิม ดังนั้นพนักงานเหล่านี้จึงต้องการโครงข่ายรองรับทางสังคมที่ดีขึ้น ตัวอย่างหนึ่งคือ Alia แพลตฟอร์มสิทธิประโยชน์แบบพกพาสำหรับลูกจ้างที่ทำงานในบ้าน เช่น พี่เลี้ยงเด็ก คนทำความสะอาดบ้าน และผู้ดูแล นายจ้างหรือลูกค้าหลายรายสามารถมอบสิทธิประโยชน์ผ่าน Alia ให้กับลูกจ้างได้ ซึ่งอาจรวมถึงการให้ค่าจ้างในวันลาป่วยและการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ประกันภัยต่างๆ อย่างประกันชีวิต "มีลูกจ้างจำนวนมากที่ทำงานมากกว่า 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ โดยที่ [ลูกจ้าง] ไม่มีนั่งร้านหรือเครื่องมือป้องกันใดๆ ติดตั้งไว้รอบตัวเลยเพราะในเวลา 40 ชั่วโมงนี้ พวกเขาอาจต้องเคลื่อนย้ายไปยังสถานที่ทำงานกว่า 40 แห่งแทนการรับงานจากนายจ้างคนเดียว" Palak Shah ผู้อำนวยการก่อตั้ง NDWA Labs ซึ่งเป็นองค์กรที่สร้าง Alia กล่าว "Alia เป็นเหมือนสัญญานเตือนภัยล่วงหน้าสำหรับอนาคตของการทำงาน เราทราบดีว่าถ้าเราสามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ให้กับลูกจ้างที่ทำงานในบ้านได้ เราก็จะแก้ปัญหาเหล่านี้ให้กับลูกจ้างทุกคนได้"
Lisa Swerling และ Ralph Lazar ศิลปินคู่สามีภรรยาเป็นตัวอย่างของเส้นทางอันยากลำบากที่อาจรออยู่ข้างหน้าใครหลายๆ คน "เพราะเราได้มาถึงจุดที่ยอดเยี่ยมสุดๆ แล้วในที่สุด สิ่งที่เราคิดอยู่เสมอว่าน่าสนใจจึงเป็นการที่เรื่องราวของเรานั้นเต็มไปด้วยความล้มเหลว" Swerling กล่าว "ความล้มเหลวนั้นทั้งน่าขบขันและเป็นแรงบันดาลใจ เพราะก่อนอื่นเลย เราโชคดีที่เกิดมาเป็นคนมองโลกในแง่ดี และคุณจะไม่สามารถทำแบบเดียวกับเราได้ถ้าคุณไม่มองโลกในแง่ดี เพราะคุณคงจะรามือไปแล้ว ... เพราะคุณต้องสร้างชิ้นงานของคุณขึ้นมาใหม่ไปเรื่อยๆ"
ท้ายที่สุดแล้วผู้คนจะยังคงแสวงหาจุดมุ่งหมายและความสำเร็จผ่านการทำงาน แม้ว่าการเดินทางของพวกเขาจะเต็มไปด้วยเส้นทางคดเคี้ยวก็ตาม Nicolas Leschke จาก ECF Farmsystems อธิบายถึงความรู้สึกได้รับการเติมเต็มจากบทบาทปัจจุบันของตัวเองว่า "คุณอยู่ในเขตของเมืองแต่ได้ทำงานกับต้นไม้ใบหญ้า ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าพอใจมาก เพราะคุณได้ทำงานกับธรรมชาติ และผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้ส่งผลดีกับตัวคุณ"
Zhenru Goy จาก Goy Architects กล่าวว่ารูปแบบการทำงานที่ยืดหยุ่นช่วยให้พวกเขาได้ชะลอตัวลงและค่อยๆ พัฒนาไปเรื่อยๆ เพื่อให้ทำงานได้อย่างมีจุดมุ่งหมายมากที่สุด "เรายังคงทดลองและค้นหาสิ่งที่เราควรทำเพื่อสถาปัตยกรรมอยู่เสมอ ดังนั้นจึงมีการครุ่นคิดอย่างต่อเนื่องถึงวิธีที่เราควรมีส่วนร่วมเพื่อประโยชน์ของชุมชนและสิ่งแวดล้อม … เราอาจใช้เวลาในการคิด แต่เราดำเนินการได้อย่างรวดเร็วและสามารถทำให้โครงการของเราเกิดผลกระทบได้”
Melanie Cook แนะนำให้ใช้แนวทาง "การคิดช้าๆ" สำหรับการดำเนินการในทั้งอาชีพของคุณ แทนการตอบสนองแบบตื่นตระหนกหรือการตอบสนองแบบสู้หรือหนีต่อสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้ เธอแนะนำว่า "ให้เวลากับตัวเองในการวางแผนอาชีพและวางแผนการทดลองบ้าง … เพื่อค้นหาเส้นทางที่จะนำไปสู่ความสำเร็จสูงสุดสำหรับคุณ"
Kate Lister หวังว่าสถานที่ทำงานจะมีวิธีที่ดีขึ้นในการค้นหาและใช้ประโยชน์จากทักษะ ความสนใจ และจุดแข็งของพนักงาน "นั่นเป็นตอนที่เราจะได้รับประสิทธิภาพการทำงานสูงสุดจากพนักงาน" เธอกล่าว
สุดท้ายนี้ แนวทางที่มีความยืดหยุ่นสำหรับอนาคตของการทำงานจะช่วยให้เราสามารถเผชิญกับสิ่งที่รออยู่ข้างหน้า ทำงานได้ดี และปรับตัวให้เข้ากับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ เนื่องจากอนาคตที่มีความยืดหยุ่นจะบังคับให้เราคิดวิธีแก้ไขให้ได้เมื่อเผชิญกับความทุกข์ยาก อย่างที่ Melanie Cook กล่าวว่า "ถ้ามองจากมุมที่เป็นแง่บวก มนุษย์มีความยืดหยุ่นอย่างเหลือเชื่อทีเดียว มนุษย์สามารถปรับตัวได้ไม่ว่าจะกี่ครั้งก็ตาม"
อนาคตที่มีความยืดหยุ่นจะช่วยให้เรามุ่งเน้นไปที่การดำเนินการเชิงรุกกับสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเรา การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมการทำงานจะมอบโอกาสให้คุณค้นหาวิธีที่ดีกว่าในการสร้างสมดุลให้กับการจัดลำดับความสำคัญ ตั้งแต่ความหลงใหล ผู้คน ไปจนถึงการมุ่งตามเป้าหมายทางอาชีพที่เราคิดว่ามีความสำคัญและคุ้มค่าที่สุด เราควรทำให้มั่นใจว่าบุคคลหนึ่งจะพบหนทางในการประสบความสำเร็จได้จากทุกๆ แง่มุมของตัวเอง และผลลัพธ์ท้ายสุดนั้นมีความหมายในแง่ของชีวิตมากพอๆ กับการทำงาน เพราะอย่างที่ Annie Auerbach กล่าวว่า "เบื้องหลังเหตุผลที่ผู้คนต้องการทำงานอย่างยืดหยุ่นมีเรื่องราวที่แสดงถึงความเป็นมนุษย์อยู่เสมอ"