ความหมายของ VPN
“VPN” เป็นคำทั่วไป โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงทีมระยะไกล แต่คุณรู้หรือไม่ว่า VPN หมายถึงอะไร VPN ย่อมาจากเครือข่ายส่วนตัวเสมือน (Virtual Private Network) ซึ่งมีความหมายตามชื่อ นั่นคือ VPN จะสร้างพื้นที่เสมือนสำหรับทำงานเมื่อคุณออนไลน์ แต่ VPN มีประโยชน์อย่างไร
VPN ทำอะไรได้บ้าง
VPN ยืนยันว่าให้ข้อได้เปรียบมากมายสำหรับผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในบ้านและพื้นที่ทำงานที่วุ่นวาย เช่น
การอนุญาตการเข้าถึงระยะไกล
VPN ช่วยให้คุณสร้างเครือข่ายระยะไกลแบบส่วนตัวของอุปกรณ์ที่เลือกได้ ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ทำงานระยะไกล ทีมของคุณจึงเชื่อมต่อกันได้อย่างปลอดภัย แม้จะอยู่ห่างกันเป็นไมล์หรืออยู่คนละทวีปกัน
การรักษาความปลอดภัยที่ดีขึ้น
หากคุณเข้าสู่ระบบฮอตสปอต Wi-Fi เพื่อออนไลน์ เช่น เมื่ออยู่บนรถไฟไปทำงานหรือในร้านกาแฟ VPN จะรักษาความปลอดภัยให้กับข้อมูลของคุณได้ Wi-Fi สาธารณะอาจเป็นทรัพยากรที่ยอดเยี่ยม แต่ก็ไม่ได้ปลอดภัยเหมือนการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในบ้านหรือที่ทำงานของคุณ การสร้างอุโมงค์ VPN (ลองนึกภาพว่าอุโมงค์นั้นเป็นเหมือนเกราะปกป้องข้อมูลของคุณ) จะช่วยให้ข้อมูลของคุณได้รับการเข้ารหัสอย่างสมบูรณ์โดยใช้ AES (มาตรฐานการเข้ารหัสขั้นสูง) แม้การเชื่อมต่อ Wi-Fi ของคุณจะไม่รัดกุมก็ตาม หากข้อมูลของคุณยังไปไม่ถึงปลายทางที่กำหนดไว้ ก็จะไม่มีใครถอดรหัสข้อมูลดังกล่าวได้ คุณจึงเรียกดู ส่งอีเมล หรือชำระเงินด้วยบัตรเครดิตได้อย่างปลอดภัยแม้จะใช้เครือข่าย Wi-Fi สาธารณะก็ตาม กระบวนการนี้เรียกว่า PPTP (Point-to-Point Tunneling Protocol) นั่นคือ โปรโตคอลการส่งข้อมูลผ่านอุโมงค์แบบจุดต่อจุด
การเลี่ยงตัวบล็อกตำแหน่ง
เนื่องจาก VPN ซ่อนตำแหน่งของคุณและให้คุณเลือกเซิร์ฟเวอร์ได้ในบางภูมิภาค คุณจึงสามารถดูเนื้อหาได้จากทุกที่ ตัวอย่างเช่น หากคุณอยู่ในประเทศจีนและต้องการเข้าถึงบัญชีโซเชียลมีเดีย คุณอาจพบว่าเว็บไซต์เหล่านี้จำนวนมากถูกบล็อกอยู่ อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณกำหนดค่า VPN ของคุณให้มี IP อยู่ในสหรัฐอเมริกา อินเทอร์เน็ตของคุณก็จะแสดงการเชื่อมต่อของคุณราวกับว่าคุณอยู่ในสหรัฐอเมริกา
การปฏิเสธการควบคุมปริมาณ
แม้คุณสมบัติข้อนี้อาจใช้ไม่ได้กับทุก VPN และผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) ทั้งหมด แต่บางครั้งบริการ VPN ก็สามารถช่วยหลีกเลี่ยงข้อจำกัดในการรับส่งข้อมูลทางเครือข่ายได้ ตัวอย่างเช่น หาก ISP เริ่มควบคุมปริมาณข้อมูลของคุณหลังจากที่ปริมาณข้อมูลนั้นเกินขีดจำกัดที่กำหนด VPN จะช่วยปกปิดกิจกรรมบางอย่างของคุณได้ ทำให้คุณใช้งานปริมาณข้อมูลที่อนุญาตได้ยาวนานยิ่งขึ้น แต่โดยทั่วไปแล้ว การใช้ VPN อาจทำให้การเชื่อมต่อบรอดแบนด์ของคุณช้าลงได้ เนื่องจากมีอีกขั้นตอนหนึ่งเพิ่มเข้ามา นั่นคือ การกำหนดเส้นทางการเชื่อมต่อของคุณใหม่ผ่านเซิร์ฟเวอร์ VPN อย่างไรก็ตาม ปัญหาดังกล่าวมักเกิดขึ้นกับบรอดแบนด์ภายในบ้านมากกว่าในสถานการณ์ทางธุรกิจ
VPN ทำงานอย่างไร
โดยพื้นฐานแล้ว VPN จะปกปิดตัวตน ตำแหน่งที่ตั้ง และกิจกรรมออนไลน์ของคุณ เมื่อคุณเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) ของคุณจะใช้เซิร์ฟเวอร์ของตนเพื่อให้คุณออนไลน์ แต่เนื่องจาก VPN ดำเนินการเชื่อมต่อนี้ผ่านเซิร์ฟเวอร์ส่วนตัว ข้อมูลใดๆ ที่อาจส่งจากคอมพิวเตอร์ของคุณจึงมาจาก VPN แทน
ผู้ให้บริการ VPN ใช้การเข้ารหัสและ Internet Protocol Security (IPSec) ในการจัดข้อมูลของคุณเป็น “แพ็กเกจ” เพื่อให้ข้อมูลดังกล่าวได้รับการปกป้องอย่างปลอดภัยจนกว่าจะถึงปลายทางของคุณ โดยเรียกกระบวนการนี้ว่า L2TP (Layer Two Tunneling Protocol) หากคุณกำลังท่องเว็บออนไลน์ ที่อยู่ IP (ที่อยู่ Internet Protocol) ของคุณจะไม่ปรากฏเป็นที่อยู่ IP ที่ ISP กำหนดให้คุณ แต่จะปรากฏเป็นที่อยู่ IP จากเซิร์ฟเวอร์ VPN
ที่อยู่ IP คืออะไร
ที่อยู่ Internet Protocol (IP) คือชุดตัวเลขที่ใช้เพื่อระบุอุปกรณ์ของคุณเมื่อคุณเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต ที่อยู่ IP ทำหน้าที่ระบุตัวตนและช่วยระบุตำแหน่งของคุณ ในบางกรณี ที่อยู่ IP ก็อาจมีประโยชน์ เช่น หากคุณเป็นธุรกิจขนาดเล็กและต้องการให้เว็บไซต์และที่ตั้งของคุณได้รับการบันทึกอย่างแน่นหนาสำหรับลูกค้าในท้องถิ่น หากทีมของคุณเลือกใช้การเชื่อมต่อ VPN แต่คุณยังต้องเก็บที่อยู่ IP ของคุณไว้ ก็มี VPN เฉพาะสำหรับกรณีนี้เช่นกัน
สาเหตุหลักที่ VPN ต้องซ่อนที่อยู่ IP ก็เพราะข้อมูลเหล่านี้สามารถบอกตำแหน่งของคุณได้ ตัวอย่างเช่น หากแฮ็กเกอร์เข้าถึงที่อยู่ IP ของคุณ พวกเขาก็จะเห็นกิจกรรมออนไลน์ล่าสุดของคุณได้ และอาจแฮ็กเข้าสู่บัญชีของคุณ และไม่ใช่แค่แฮ็กเกอร์เท่านั้น คุณเคยสงสัยไหมว่าโฆษณาที่คุณเห็นบนช่องทางโซเชียลมีเดียต่างๆ ดูเหมือนจะรู้สิ่งที่คุณกำลังค้นหาอยู่อย่างชัดเจน นั่นก็เพราะ ISP ของคุณขายข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมบนอินเทอร์เน็ตของคุณ VPN จึงป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นด้วยการซ่อนที่อยู่ IP ของคุณ
ทำไมผู้คนถึงเลือกใช้ VPN
เหตุผลประการหนึ่งที่น่าสนใจที่สุดในการเลือกใช้ VPN ในสภาพแวดล้อมการทำงานก็คือการเชื่อมต่อทีมระยะไกลอย่างปลอดภัย ด้วยการรักษาความปลอดภัยและการเข้าถึงที่ดีขึ้น ทีมของคุณจึงสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
- ออนไลน์อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น: การใช้ VPN หมายความว่าคุณสามารถไว้วางใจได้ว่าข้อมูลของคุณจะปลอดภัยแม้ขณะแบ่งปันไฟล์
- ความมั่นใจของลูกค้า: ลูกค้าอาจคาดหวังให้คุณมี VPN หรือบริการที่ปลอดภัยเทียบเท่า VPN ก่อนการส่งมอบเอกสารใดๆ
- เครือข่ายระยะไกล: VPN ทำให้เครือข่ายภายในของคุณขยายออกไปนอกสำนักงานได้
การใช้ VPN
ลองพิจารณาสิ่งต่อไปนี้เมื่อมีความคิดที่จะติดตั้งบริการ VPN ให้กับพีซีสำหรับใช้ทำงานของคุณหรือทั้งทีม
- ตำแหน่ง VPN: VPN จะทำงานในปลายทางที่คุณเลือกตามตำแหน่งผู้ให้บริการหรือไม่ ตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการเข้าถึงเว็บไซต์ที่ถูกบล็อกสำหรับที่ตั้งในสหรัฐอเมริกา คุณก็จะต้องมีเซิร์ฟเวอร์อยู่ในประเทศที่เว็บไซต์นั้นอนุญาต ให้ตรวจสอบว่า VPN ของคุณมีเซิร์ฟเวอร์อยู่ในสถานที่ตั้งดังกล่าว นอกจากนี้ VPN จะเป็นไปตามกฎของประเทศที่ตั้งสำหรับ VPN นั้นๆ ไม่ใช่กฎของประเทศที่ลูกค้าพำนักอยู่ (ดูข้อมูลเพิ่มเติมในส่วนนี้ได้ที่ด้านล่าง)
- ประเภท VPN: VPN อาจเป็นแบบเรียบง่ายเหมือนๆ กับโปรแกรมแอด-ออนส่วนเสริม หรือเป็นแบบซับซ้อนพอๆ กับเครือข่าย VPN ของทั้งองค์กรเลยก็ได้ หากสำนักงานของคุณต้องการพัฒนาเครื่องมือในการทำงานร่วมกัน คุณจะต้องมองหาตัวเลือกสำหรับองค์กร
- ค่าใช้จ่าย: ยิ่ง VPN ซับซ้อนมากเท่าใด ค่าใช้จ่ายก็ยิ่งสูงขึ้นตามไปด้วย ในกรณีที่เป็นบริการ VPN ขององค์กร คุณจะต้องการโซลูชันไอทีแบบกำหนดเอง ซึ่งน่าจะเป็นการลงทุนที่สำคัญ
- ระบบปฏิบัติการ: คุณจะต้องเลือกบริการ VPN ที่เข้ากันได้กับระบบปฏิบัติการของคุณ ตัวอย่างเช่น คอมพิวเตอร์ Linux อาจต้องการไคลเอนท์ VPN ที่แตกต่างจาก Microsoft Windows
- อุปกรณ์: หากคุณวางแผนที่จะใช้ VPN บนอุปกรณ์เคลื่อนที่ของคุณ เช่น โทรศัพท์หรือแท็บเล็ต คุณอาจต้องใช้ VPN ที่แตกต่างจากที่คุณเลือกสำหรับแล็ปท็อปของคุณ
VPN มีความปลอดภัยหรือไม่
VPN ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวและการรักษาความปลอดภัยเป็นอย่างมาก จึงไม่แปลกที่คนจะมองว่า VPN เป็นเสมือนเกราะกันกระสุนที่ป้องกันแฮ็กเกอร์อินเทอร์เน็ต แต่น่าเสียดายที่ความจริงไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป ระดับการรักษาความปลอดภัยสูงสุดของ VPN จะช่วยให้คุณมีวิธีที่ปลอดภัยในการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตได้โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับภัยคุกคามด้านความปลอดภัย อย่างไรก็ตาม VPN ไม่สามารถต้านทานการแฮ็กได้ในตัวเอง นอกจากนี้ การใช้ VPN เพื่อหยุดไม่ให้ ISP คอยสอดส่องคุณก็อาจเกิดข้อผิดพลาดขึ้นได้ โดยมีหลายกรณีที่แสดงให้เห็นว่า VPN บางอย่างก็บันทึกกิจกรรมของคุณจริงๆ แม้จะระบุว่าไม่มีการเก็บบันทึกเลยก็ตาม
ขอบเขตในการดำเนินการเช่นนี้จะขึ้นอยู่กับที่ตั้งของผู้ให้บริการ VPN เนื่องจากผู้ให้บริการจะต้องปฏิบัติตามกฎที่แตกต่างกันไป ตัวอย่างเช่น ในยุโรป กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (GDPR) จะป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น แต่คุณก็ไม่ควรวางใจว่า VPN ของคุณเป็นตัวเลือกที่ไม่มีโอกาสเกิดข้อผิดพลาดในการรักษาความปลอดภัยออนไลน์
ข้อเสียของ VPN มีอะไรบ้าง
VPN มีประโยชน์มากมาย แม้ว่าข้อได้เปรียบหลายอย่างนี้จะมีอยู่ในวิธีการแบบอื่นๆ ด้วยเช่นกันตัวอย่างเช่น การทำงานระยะไกลอาจประสบผลสำเร็จได้โดยใช้ซอฟต์แวร์หรือบริการอื่นๆ ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีการตั้งค่า การบำรุงรักษา หรือค่าใช้จ่ายมากเท่า VPN
พิจารณาข้อเสียของ VPN ต่อไปนี้ก่อนตัดสินใจดำเนินการ
- อาจมีค่าใช้จ่ายสูง โดยเฉพาะการติดตั้งสำหรับองค์กร
- จำเป็นต้องมีการบำรุงรักษาสำหรับธุรกิจต่างๆ
- ผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีจะต้องตั้งค่าเครือข่ายระยะไกลตั้งแต่ต้น โดย Dropbox ต้องการเพียงการลงทะเบียนง่ายๆ เท่านั้น
- ไม่ปลอดภัยเท่าที่ควรเสมอไป
- อาจทำให้ความเร็วอินเทอร์เน็ตของคุณช้าลงอย่างมาก
- บางประเทศมองว่า VPN เป็นสิ่งที่ไม่ได้ถูกกฎหมายเสียทีเดียวหรือมองว่าผิดกฎหมาย
บางแบรนด์ได้พยายามบล็อกผู้ใช้ที่ใช้ VPN ซึ่งอาจส่งผลให้บัญชีของบริษัทมีประวัติเสียได้
สุดท้ายนี้ คุณควรคำนึงถึงเป้าหมายที่แท้จริงในการใช้ VPN คุณจะทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพไม่ต่างกันโดยใช้เครื่องมืออย่าง Dropbox ได้หรือไม่ คุณจะท่องเว็บแบบอิสระเหมือนๆ กันโดยใช้เซิร์ฟเวอร์พร็อกซีออนไลน์ได้หรือไม่ คุณสามารถคงการรักษาความปลอดภัยไว้ในระดับสูงด้วยโปรแกรมป้องกันมัลแวร์และไฟร์วอลล์ที่ทันสมัยได้หรือไม่ หากคำตอบของข้อใดข้อหนึ่งคือใช่ VPN ก็อาจเป็นโซลูชันที่ซับซ้อนโดยไม่จำเป็น
เราจะใช้อะไรแทน VPN ได้บ้าง
หากเหตุผลหลักที่คุณใช้ VPN คือเพื่อให้แน่ใจว่าทีมของคุณจะสามารถเชื่อมต่อกันได้จากระยะไกลแล้วละก็ คุณยังมีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านั้น แน่นอนว่า VPN มีข้อได้เปรียบในหลายๆ ด้าน แต่หากพูดถึงเรื่องการทำงานระยะไกลแล้ว ค่าใช้จ่ายและเวลาที่ใช้ในการติดตั้งและเริ่มใช้งาน VPN ขององค์กรก็ดูจะเป็นเรื่องที่น่ากังวล แม้แต่ผู้ใช้ที่มีความชำนาญด้านเทคโนโลยีก็อาจเบื่อหน่ายกับกระบวนการหลายขั้นตอนในการเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ไฟล์ผ่าน VPNDropbox มาพร้อมระบบรักษาความปลอดภัยของไฟล์และเปิดการทำงานการเข้าถึงระยะไกลได้เพียงแค่ลงชื่อเข้าใช้ ด้วยเหตุนี้ Dropbox จึงเป็นทางเลือกที่ง่ายดายและมีประสิทธิภาพซึ่งใช้แทน VPN ได้สำหรับความต้องการเหล่านี้
ธุรกิจของฉันควรใช้ VPN หรือไม่
การใช้ VPN มีข้อได้เปรียบมากมาย แต่ประเภทที่คุณต้องใช้จริงๆ นั้นอาจแสดงถึงข้อแตกต่างระหว่างเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมกับค่าใช้จ่ายโดยใช่เหตุได้ โปรโตคอล VPN เป็นทางเลือกที่แทบไม่เป็นรองใครในเรื่องการปกป้องข้อมูลของคุณในระดับเครือข่าย แต่เฟรมเวิร์กด้านการรักษาความปลอดภัยที่ดีซึ่งประกอบด้วยซอฟต์แวร์ป้องกันมัลแวร์ที่เหมาะสมนั้นก็สามารถปกป้องอุปกรณ์ของคุณอย่างรัดกุมได้ VPN ขององค์กรจะต้องใช้เวลาในการสร้างและเริ่มใช้งาน นอกจากนี้ยังต้องมีการบำรุงรักษาและผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีโดยเฉพาะในการดำเนินงานอีกด้วย หากต้องการทำงานระยะไกลและแบ่งปันไฟล์อย่างง่ายดายแล้ว Dropbox จะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า